คุณพร้อมที่จะเป็น technology company แล้วหรือยัง?
First they ignore you, then they laugh at you…
ธุรกิจใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปีค.ศ. 2000 หลายๆบริษัท เป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดเป็นหลัก
Amazon แม้ว่าโดยผิวเผินจะเป็นบริษัทที่ขายหนังสือ และสินค้าต่างๆ แต่ Amazon มีการใช้ระบบ IT มาช่วยในการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความสะดวกสะบายให้กับลูกค้า เพื่อมาแข่งขันกับเจ้าตลาดรายอื่นๆ
ในช่วงเริ่มต้นของ Amazonที่งานสัมนาร้านหนังสือในอเมริกา มีคนหัวเราะเยาะ เจฟฟ์ เบโซส์ เมื่อเขาบอกกับคนอื่นๆว่า เขาจะขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต
ในตอนนั้น ร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศมีอยู่ 2 ร้านคือ Barnes & Noble และ Borders
ตอนนี้ เหลือเพียง Barnes & Noble เพียงร้านเดียว
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับประเทศเช่น CompUSA และ Circuit City ก็ได้ปิดตัวลงไปด้วย เหลือแต่เพียง Best Buy ที่เป็นยักษ์ใหญ่(ที่อ่อนแรง) อยู่เพียงรายเดียว
แม้ว่าการเข้ามาในตลาดของ Amazon จะไม่ใช่เหตุผล หรือมิติเดียวที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ล้มหายไป แต่การที่ธุรกิจเหล่านั้น พยายามปรับตัวโดยการเลียนแบบ model ในการทำธุรกิจต่างๆของ Amazon ก่อนที่จะล้มลงไป เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกว่า Amazon ได้เดินมาถูกทางแล้ว
มันอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่บริษัทของคุณจะต้องเป็น technology company
Technology companies ใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาแบบ Amazon จะเป็นธุรกิจที่เข้ามาท้าทาย และแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากธุรกิจที่มีอยู่แล้วโดยตรง
Amazon.com และ Lazada ท้าทายหน้าร้านขายของแทบทุกอย่างตั้งแต่ หนังสือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของแต่งบ้าน สินค้าแฟชัน จนถึงธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่ให้ร้านค้าเช่าพื้นที่
Uber และ GrabTaxi ท้าทายศูนย์เรียก taxi, ธุรกิจ taxi โดยรวม, ธุรกิจ airport limousine, ธุรกิจส่งเอกสารและพัสดุ หรือแม้กระทั่งวินมอเตอร์ไซค์
พ่อค้า-แม่ค้า LINE Instagram และ Facebook ที่ท้าทายกับร้านค้าในตลาด ตลาดนัด ร้านค้าสินค้าแฟชัน-เครื่องสำอาง จนถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายปลีกอื่นๆ
Airbnb ท้าทายธุรกิจโรงแรม, ธุรกิจ vacation rentals
TrueMoney, mPay, WePay ท้าทายธุรกิจการรับชำระเงินและค่าบริการทั่วๆไปของธนาคาร และ Counter Service
ถ้าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจะบอกอะไรบางอย่างกับเรา ในความเห็นของผู้เขียนคงจะเป็นคำว่า ถ้าไม่ปรับตัวก็ไม่รอด (Adapt or die)
ถ้าหากย้อนกลับไปในวันสัมนาร้านหนังสือวันนั้นและได้ฟังความฝันของเจฟฟ เบโซส์ คุณจะเลือกที่จะหัวเราะกับความฝันของเขา หรือนำความฝันของเขามาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณ?
หัวใจของ technology company
Technical know-how
Technical know-how เป็นหัวใจของ technology company เพราะผู้ท้าชิงใหม่ๆในตลาดไม่ใช่ธุรกิจธรรมดาๆที่คุณเคยเจออีกต่อไป
ผู้ท้าชิงเหล่านี้เป็นองค์กรที่สามารถเก็บข้อมูลต่างๆได้มากมาย นำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น และนำความเข้าใจเหล่านั้นมาใช้งานจริงเพื่อให้เกิดผล
การมีบุคคลากรที่มีความสามารถในด้านการจัดการข้อมูล, วิเคราะห์ข้อมูล จนถึงการนำผลไปใช้งานจริงอยู่ในมือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะงานพวกนี้จะกลายเป็นหัวใจของธุรกิจ ที่คุณจะไม่สามารถรอให้บริษัทที่ปรึกษาจากข้างนอกมาเรียนรู้ธุรกิจของคุณ และช่วยตอบคำถามให้เป็นครั้งๆ ได้อีกต่อไป
Risk-tolerant
ผู้ท้าชิงของคุณ พร้อมที่จะทดลองสิ่งต่างๆแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลที่ดีมารองรับทั้งหมด พวกเขาเป็น start-up ที่ได้รับเงินจากนักลงทุนมาให้แย่งชิงตลาดจากคุณ หรือเป็น start-up ที่แทบจะไม่มีเงินเลย จนทำให้เขามีความคิดใหม่ๆที่ทำให้สามารถสู้กับคุณได้
ผู้เขียนไม่ได้แนะนำให้เสี่ยงโดยไม่คิดอะไรเลย แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งที่จะเข้ามาแย่งชิงตลาดของคุณแล้ว คุณควรที่จะยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น และทดลองอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ1 เพราะนั่นคือสิ่งที่คู่แข่งของคุณกำลังทำอยู่ตลอดเวลา
อย่าให้แนวความคิด “Nobody ever got fired for buying IBM” มีอยู่ในองค์กรของคุณ เพราะแนวความคิดนี้ จะทำให้คนทำงานเลือกทำในสิ่งที่ปลอดภัยกับตำแหน่งงานของเขา มากกว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับองค์กรของคุณ
Agility
ถ้าหากกลยุทธที่องค์กรของคุณจะนำมาใช้พัฒนาธุรกิจของคุณ ยังต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือเป็นปี เพื่อให้บริษัทที่ปรึกษาทำ proposal ที่เหมาะสม, ให้ผู้บริหารหลายระดับอนุมัติทั้งหมด แล้วจึงพัฒนาระบบตาม proposal
ผู้เขียนมองว่าอาจจะไม่ทันกิน เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว start-up ที่เป็นคู่แข่งของคุณ ได้ทำการ คิด-ออกแบบ-ทำจริง และนำผลไปพัฒนาต่อได้หลายรอบแล้ว
อย่าลืมว่าการพัฒนาธุรกิจบางอย่าง ไม่ใช่การพัฒนาครั้งเดียวแล้วเสร็จ โอกาสที่คุณจะได้สิ่งที่ดีที่สุดในครั้งแรกนั้นมีน้อยมาก การพัฒนาอย่างรวดเร็ว และนำผลมาพัฒนาต่ออย่างต่อเนื่อง จะทำให้คุณพัฒนาได้เร็วกว่า
ในมุมมองของผู้เขียน องค์กรที่เป็นเจ้าตลาดในหลายๆธุรกิจ ควรจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็น technology companyเพื่อเตรียมรับมือกับผู้ท้าทายใหม่ๆที่มีความคิด และความสามารถที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน
คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนองค์กรของคุณให้เป็น technology company แล้วหรือยังครับ?
1 Amazon Prime เป็นบริการส่งสินค้าเกือบทุกรายการจาก Amazon ถึงมือผู้ซื้อภายในสองวันฟรี โดยมีค่าสมาชิก $79 ต่อปี (ปัจจุบัน $99ต่อปี) Amazon เลือกราคานี้ ไม่ใช่เพราะเป็นราคาที่่ผ่านจากการสำรวจตลาด/วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว แต่เป็นเพราะมันเป็นบริการที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงไ่ม่สามารถคำนวณตัวเลขที่เหมาะสมได้ พวกเขาเลยเลือกเลข 79 ขึ้นมาเพราะมันเป็นจำนวนเฉพาะ (prime number) เหมือนชื่อบริการ ในปีค.ศ. 2015 มีคนเป็นสมาชิก Amazon Prime 44ล้านคน หรือ 13% ของประชากรในสหรัฐอเมริกา(ประชากร 320 ล้านคน)